วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ ม.4 (01/52) by ครูต้าร์

เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ ม.4 (สรุป)

รูปแบบของ Personal Pronoun

Subject (ประธาน) object (กรรม)
I ฉัน me
You เธอ, คุณ, ท่าน you
He เขาผู้ชาย (เอกพจน์) him
She เขาผู้หญิง (เอกพจน์) her
It มัน (เอกพจน์) it
They พวกเขาทั้งหลาย (พหูพจน์) them
We พวกเรา (พหูพจน์) us
You พวกเธอ (พหูพจน์) you

Possessive Adjective คือ คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น

My = ของฉัน
Your = ของเธอ
His = ของเขาผู้ชาย
Her = ของเขาผู้หญิง
Its = ของมัน
Their = ของพวกเขาทั้งหลาย
Our = ของพวกเรา
Your = ของพวกเธอ

Possessive Pronouns คือ คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
Mine = ของฉัน
Yours = ของเธอ
His = ของเขาผู้ชาย
Hers = ของเขาผู้หญิง
Its = ของมัน
Theirs = ของพวกเขาทั้งหลาย
Ours = ของพวกเรา
Yours = ของพวกเธอ

Apostrophe’s ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ
1. ตามปกติแล้วใช้กับ คน สัตว์
2. เราสามารถใช่ ‘s โดยไม่มี Noun ตามหลังได้
3. ใช้เฉพาะเครื่องหมาย apostrophe อย่างเดียวหลังคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s อยู่แล้ว
4. เติม ‘s หลังคำนามตัวหลัง ถ้ามีคำนามมากกว่าหนึ่ง
5. ใส่ ‘s หลังหน่วยงาน หรือองค์กรแทน of ได้
6. ใช้ ‘s หลังสถานที่ได้
7. ใช้ ‘s กับวัน, เวลาได้

Articles คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. Definite Articles
Definite Articles คือ คำว่า The ใช้ในกรณีที่จำเพาะเจาะจงโดยที่

1. ผู้ฟังรู้ว่าสิ่งที่เราพูดถึงนั้นคือสิ่งไหน
2. สิ่งที่ผู้พูดได้กล่าวถึงไว้ก่อนแล้ว
3. ใช้ the สิ่งที่มีสิ่งเดียว ชนิดเดียวในโลก

กฎในการใช้ Definite Articles
1. ใช้ the นำหน้าคำนามที่มีการกล่าวถึงครั้งแรกแล้ว
2. the ใช้นำหน้าคำนามที่มีการชี้เฉพาะเจาะจง
3. the ใช้นำหน้าชื่อหมู่เกาะ
4. the ใช้นำหน้าชื่อเทือกเขา แต่ถ้าเป็นชื่อเทือกเขาลูกเดียวใช้ the นำหน้าไม่ได้
5. the ใช้นำหน้าชื่อ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร แต่ถ้าเป็นชื่อทะเลสาบใช้ the นำหน้าไม่ได้
6. the ใช้นำหน้าชื่อโรงหนัง โรงละคร คลับ ร้านอาหาร สถาบัน และสถานที่สธารณะต่างๆ

2. Indefinite Articles ก็คือ a, an

กฎในการใช้ Indefinite Articles
1. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่กล่าวถึงทั่วๆ ไปไม่ได้เจาะจง
2. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเพื่อแทนคำว่า one (หนึ่ง)
3. ใช้ a, an แทนคำว่า per
4. ใช้ a, an กับสำนวนต่างๆ

Present Simple Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. เรื่องที่กล่าวถึงทั่วๆ ไป ไม่ได้กำหนดเวลาที่เริ่มต้น หรือจบสิ้น
2. เหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำ
3. ทำเป็นนิสัย
4. ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
5. เป็นประเพณี
6. สุภาษิตและคำพังเพย
7. ประโยคอุทาน

Present Continuous
รูปประโยค V. to be + V. ing ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. กำลังกระทำขณะที่พูด
2. ทำเป็นประจำในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
3. ในการวางแผนและกำหนดการที่จะกระทำในอนาคตโดยบ่งบอกเวลาไว้อย่างแน่ชัด
4. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ

Present Perfect
รูปประโยค Have / Has + V.3 ใช้ในกรณีตต่อไปนี้

1. ทำตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
2. เหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเสร็จสิ้น

Adverb of Time

since = ตั้งแต่
1. since + จุดเวลลาที่เริ่มต้น
2. since + clause ที่เป็น Past simple

for = ใช้กับช่วงเวลา

already = เรียบร้อยแล้ว
1. วางไว้ระหว่าง v. ช่วย กับ v. แท้
2. วางไว้ท้ายประโยค

Just = เพิ่งจะ วางไว้ระหว่าง v. ช่วย กับ v. แท้

Yet = ยัง ใช้ในประโยคคำถามหรือปฎิเสธเท่านั้น และต้องวางไว้ท้ายประโยคเสมอ

Past Simple
รูปประโยค ใช้ verb ช่อง 2 ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้วและจบสิ้นลงแล้ว (ทำในอดีตและจบในอดีต) และเวลาก็ผ่านพ้นไปแล้ว
2. ทำเป็นนิสัยในอดีต หรือทำเป็นประจำในอดีต
3. ในเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันอย่างเห็นได้ชัด
4. ใช้ในการเล่าชัวประวัติ

เราสามารถสังเกตหน้าที่ของคำโดยทั่วๆ ไปได้ว่า

1. คำที่ลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้เป็น Noun

ment เช่น sdvertisement tion เช่น attention
ity เช่น ability ness เช่น happiness
ence เช่น confidence ance เช่น assistance
ant เช่น assistant ship เช่น friendship
or เช่น operator er เช่น manager
ee เช่น employee ist เช่น violinist
ic เช่น basic ive เช่น alternative

2. คำที่ลงท้ายด้วยคำเหล่านี้เป็น Adjective

Ous เช่น dangerous ious เช่น various
Able เช่น comfortable ible เช่น sensible
Ence เช่น confidence ance เช่น assistance
Ent เช่น confident ant เช่น reliant
Ic เช่น specific al เช่น musical
Ual เช่น usual ful เช่น careful

3. คำที่ลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้เป็น Verb

Ate เช่น vacate en เช่น frighten
Ize เช่น apologize ify เช่น beautify

4. คำที่ลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้เป็น Adverb

Ly เช่น carefully ally เช่น totally
Ably เช่น comfortably ibly เช่น sensibly

Prefixes คือ คำที่มาเติมข้างหน้าแล้วทำให้ความหมายเปลี่ยนไป

Prefixes ในเชิงปฏิเสธ ตรงข้าม คัดค้าน

1. Prefixes ต่อไปนี้ให้ความหมายในเชิงปฏิเสธ
A, an เช่น apathetic = ความไม่มีน้ำใจ
Dis เช่น dishonest = ไม่ซื่อสัตย์
In เช่น incorrect = ไม่ถูก

2. Prefixes ที่ให้ความหมายในเชิงไม่ดี ผิดพลาด
Mis เช่น misuse = ใช้ในทางที่ผิด , miscalculate = คำนวณผิด
Mal เช่น malnutrition = ทุโภชนาการ

3. Prefixes ต่อไปนี้มีความหมาย = ปลอม
Pseudo เช่น pseudoscience = วิทยาศาสตร์ปลอม วิทยาศาสตร์ไม่แท้

4. Prefixes ต่อไปนี้มีความหมายตรงกันข้าม
Un เช่น unwrap = แก้ห่อ
Dis เช่น disarm = ปลดอาวุธ
De เช่น decongest = ทำให้ไม่แน่นขนัด, dehydrate = เอาน้ำออก

5. Prefixes ต่อไปนี้ให้ความหมาย = หยุด ต่อต้าน กีดกัน
op เช่น opponent = คู่ต่อสู้
obstacle = อุปสรรค

6. Prefixes บอกตำแหน่งของเวลาหรือสถานที่
Pre เช่น preschool = ก่อนเข้าโรงเรียน
Pretest เช่น การทดสอบก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้นๆ
Post เช่น postwar = หลังสงคราม

7. Prefixes ที่บอกความสูงต่ำ กว้าง ใหญ่ เหนือ เหนือกว่า ต่ำกว่า เล็กกว่า ใหญ่กว่าของสิ่งต่างๆ รวมทั้งคน Sub เช่น subsoil = ใต้ดิน
Under เช่น underdeveloped = ต่ำกว่ามาตรฐาน
Over เช่น overwork = ทำงานมากเกินไป

8. Prefixes บอกถึงการร่วมกัน การสัมพันธ์ของสิ่งของ หรือสิ่งของ
Co เช่น coauthor = นักประพันธ์ร่วม
Com เช่น combat = ต่อสู้Con เช่น consolidate = รวมกันอย่างเป็นปึกแผ่น

1 ความคิดเห็น: